นกยางเปีย
นกยางเปีย[2](อังกฤษ: little egret, ชื่อวิทยาศาสตร์: Egretta garzetta)เป็นสปีชีส์นกขนาดเล็กในวงศ์นกยาง (Ardeidae)ชื่อสกุลวิทยาศาสตร์มาจากคำในภาษาอุตซิตาถิ่นพรอว็องส์ว่า Aigrette โดยเป็นคำอังกฤษว่า egret ซึ่งเป็นคำที่บ่งขนาดเล็กจากคำว่า Aigron โดยเป็นคำอังกฤษว่า heron ซึ่งแปลว่านกยางส่วนชื่อสปีชีส์ว่า garzetta มาจากชื่ออิตาลีของนกนี้คือ garzetta หรือ sgarzetta[3]ในประเทศไทย เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าพุทธศักราช 2535 จึงห้ามล่า พยายามล่า ห้ามค้า ห้ามนำเข้าหรือส่งออก ห้ามครอบครอง ห้ามเพาะพันธุ์ ห้ามเก็บหรือทำอันตรายรัง การห้ามการครอบครองและการค้ามีผลไปถึงไข่และซาก[2]
นกยางเปีย (little egret) | |
---|---|
![]() | |
E. g. garzetta | |
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ ![]() | |
โดเมน: | ยูแคริโอต |
อาณาจักร: | สัตว์ |
ไฟลัม: | สัตว์มีแกนสันหลัง |
ชั้น: | สัตว์ปีก |
อันดับ: | นกกระทุง |
วงศ์: | วงศ์นกยาง |
สกุล: | Egretta (ลินเนียส, 1766) |
สปีชีส์: | Egretta garzetta |
ชื่อทวินาม | |
Egretta garzetta (ลินเนียส, 1766) | |
สปีชีส์ย่อย | |
E. g. garzetta | |
![]() | |
การกระจายตัวของ E. garzetta เมื่อผสมพันธุ์ อยู่ประจำ เมื่อไม่ผสมพันธุ์ อพยพ (ฤดูไม่ชัดเจน) | |
ชื่อพ้อง | |
Ardea garzetta ลินเนียส, 1766 |
นกมีสีขาว มีปากเรียวยาวสีดำ ขาดำยาว แต่นกเผ่าทางตะวันตกมีเท้าเหลืองเป็นนกน้ำ หากินตามน้ำตื้น ๆ และบนพื้น กินสัตว์เล็กต่าง ๆอยู่ผสมพันธุ์เป็นฝูง บ่อยครั้งอยู่กับนกน้ำสปีชีส์อื่น ๆ ทำรังขนาดใหญ่ (platform nest) จากก้านไม้ พุ่มไม้ และหญ้าวางไข่เป็นสีเขียวอมน้ำเงินที่ทั้งพ่อแม่ฟักลูกนกจะมีขนนกราว 6 สัปดาห์
ช่วงสืบพันธุ์จะอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำเขตอบอุ่นจนถึงเขตร้อนในทวีปยุโรป, แอฟริกา, เอเชีย, และออสเตรเลียมีนกที่ค่อย ๆ กระจายตัวไปทางทิศเหนือจนมีกลุ่มประชากรที่เสถียรและคงตัวอยู่ได้เองจนถึงสหราชอาณาจักร[4]
ในเขตที่อบอุ่น นกโดยมากจะอยู่ประจำถิ่นนกในเขตเหนือรวมทั้งนกยุโรป จะอพยพไปสู่แอฟริกาและเอเชียใต้ช่วงหน้าหนาวนกอาจจะเตร็ดเตร่ไปทางเหนือปลายฤดูร้อนหลังฤดูผสมพันธุ์ ซึ่งอาจช่วยขยายที่อยู่อันเพิ่งเกิดเมื่อไม่นานนี้แม้จะเป็นนกที่เคยสามัญในยุโรปตะวันตก แต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 นกก็ถูกล่าอย่างเป็นล่ำเป็นสันเพื่อเอาขนมาประดับหมวกจนสูญพันธ์ไปในยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือและเหลือน้อยทางตอนใต้ราว ๆ ปี 1950 ยุโรปใต้จึงได้ออกกฎหมายสงวนป้องกันนกสปีชีส์ต่าง ๆ แล้วจำนวนจึงได้เพิ่มขึ้นอีกต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 ก็มีนกผสมพันธุ์อีกในฝรั่งเศส, เนเธอร์แลนด์, ไอร์แลนด์, และสหราชอาณาจักรนกยางเปียยังขยายถิ่นที่อยู่ไปทางทิศตะวันตกอีกด้วย โดยพบเห็นในประเทศบาร์เบโดสในหมู่เกาะแคริบเบียนเป็นครั้งแรกในปี 1954 และเริ่มผสมพันธุ์ในปี 1994สหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ได้ประเมินสถานะอนุรักษ์ทั่วโลกว่า น่าเป็นห่วงน้อยสุด (least concern)
สปีชีส์ย่อย
แก้นักวิชาการยอมรับสปีชีส์ย่อยของนกยางเปีย 2–3 พันธุ์โดยไม่เหมือนกัน[5]
- E. g. garzetta - (ลินเนียส, 1766) พันธุ์ต้นแบบ (nominate) พบในยุโรป แอฟริกา และเอเชียโดยมากยกเว้นทางเอเชียอาคเนย์
- E. g. nigripes - (Temminck[A], 1840) พบในประเทศอินโดนีเซียไปทางทิศตะวันออกจนถึงเกาะนิวกินี
- E. g. immaculata พบในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ (ไม่ผสมพันธุ์ในประเทศหลัง) บ่อยครั้งจัดว่าเป็นพวกเดียวกับ E. g. nigripes
มีนกยางอีกสองพันธุ์ที่บางครั้งเคยจัดเป็นสปีชีส์ย่อยของนกนี้ แต่ปัจจุบันจัดเป็นสปีชีส์อื่น 2 สปีชีส์คือ[6]
- Egretta gularis (western reef heron) ซึ่งอยู่ตามชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก (จัดเป็นสปีชีส์ย่อย Egretta gularis gularis) และที่อยู่ในเขตเริ่มตั้งแต่ทะเลแดงจนถึงอินเดีย (สปีชีส์ย่อย Egretta gularis schistacea)
- Egretta dimorpha (dimorphic egret) ซึ่งอยู่ในแอฟริกาตะวันออก ประเทศมาดากัสการ์ ประเทศคอโมโรส และหมู่เกาะอัลดาบราในประเทศเซเชลส์
ลักษณะ
แก้![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/3/3d/Little_egret_in_flight%2C_Tamil_Nadu.jpg/220px-Little_egret_in_flight%2C_Tamil_Nadu.jpg)
นกโตแล้วยาว 55–65 ซม. รวมปีกกว้าง 88–106 ซม. หนัก 350–550 ก.ขนปกติขาวทั้งหมด แต่ก็มีนกสีเข้มกว่าที่โดยมากเป็นสีเทาออกน้ำเงิน ๆ[7] ในฤดูผสมพันธุ์ นกมีขนเป็นเปียยาวสองเส้นที่ต้นคอเหมือนกับหงอนซึ่งยาวประมาณ 15 ซม. ปลายแหลมและมีรูปเรียวมีขนคล้าย ๆ กันที่อกด้วย แต่ส่วนที่เป็นขนรูปตะขอ (barb) จะห่าง ๆ กันมากกว่ายังมีขนยาวที่สะบัก (กระดูกฐานที่ไหล่ด้านหลังซึ่งรองรับกระดูกปีก) ที่มีส่วนขนรูปตะขอยาวไม่ยึดเข้าด้วกันโดยขนอาจยาวถึง 20 ซม. ช่วงฤดูหนาว ขนจะคล้ายกับช่วงฤดูผสมพันธุ์แต่ขนที่สะบักจะสั้นกว่าและดูเหมือนขนปกติมากกว่าปากยาวเรียวดำโดยบริเวณระหว่างตากับรูจมูกก็ดำด้วยมีผิวโล่งสีเทาออกเขียว ๆ ที่ฐานขากรรไกรล่างและรอบ ๆ ตาซึ่งมีม่านตาเหลือง ขาสีดำแต่เท้าสีเหลืองลูกนกคล้ายกับผู้ใหญ่ช่วงที่ไม่ผสมพันธุ์แต่มีขาดำออกเขียว ๆ และเท้าเหลืองอ่อน ๆ กว่า[8] และอาจมีขนสีเทา ๆ หรือน้ำตาล ๆ อยู่บ้าง[7]สปีชีส์ย่อย nigripes จะต่างโดยมีหนังเหลืองระหว่างปากกับตา มีเท้าออกดำ ๆ เมื่อถึงช่วงที่นกเกี้ยวกันมากสุด บริเวณระหว่างตากับรูจมูกจะเปลี่ยนเป็นสีแดงและเท้าของพันธุ์เท้าเหลืองจะเปลี่ยนเป็นสีแดง[7]
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/2/20/Blue_beak_little_egret.jpg/220px-Blue_beak_little_egret.jpg)
นกโดยมากเงียบแต่ก็ร้องเสียงต่ำ ๆ หรือร้องเสียงเหมือนน้ำวิ่งผ่านหินในที่ผสมพันธุ์และร้องเสียงห้าวเมื่อถูกกวนสำหรับมนุษย์ เสียงอาจไม่ต่างกับนกแขวกและนกยางควายซึ่งบางครั้งมันจะอยู่ร่วมด้วย[8]
การกระจายตัวและที่อยู่
แก้![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/3/3e/Little_egret_at_Varkala_beach_11.jpg/220px-Little_egret_at_Varkala_beach_11.jpg)
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/a/a0/Egretta_garzetta_tree_Greece.jpg/220px-Egretta_garzetta_tree_Greece.jpg)
บริเวณผสมพันธุ์ของพันธุ์ตะวันตก (E. g. garzetta) รวมยุโรปใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกาโดยมาก และเอเชียใต้นกยุโรปเหนือเป็นนกอพยพ โดยมากบินไปแอฟริกาแต่บางส่วนก็ไปที่ยุโรปใต้ พันธุ์เอเชียบางส่วนอพยพไปประเทศฟิลิปปินส์ในบรรดานกพันธุ์ตะวันออก E. g. nigripes เป็นนกประจำถิ่นในอินโดนีเซียและเกาะนิวกินี ในขณะที่ E. g. immaculata อยู่ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์แต่ก็ไม่ผสมพันธุ์ในนิวซีแลนด์[7]ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 นกได้กระจายไปทางเหนือของยุโรปและโลกใหม่ โดยมีกลุ่มนกผสมพันธุ์ที่ประเทศบาร์เบโดส (ในหมู่เกาะแคริบเบียน) ในปี 1994ต่อจากนั้นได้กระจายไปที่อื่นในหมู่เกาะแคริบเบียนและตามชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของสหรัฐ[9]
ที่อยู่ของนกต่าง ๆ กันมากรวมทั้งทะเลสาบ แม่น้ำ คลอง บ่อน้ำ ลากูน ที่ลุ่มชื้นแฉะ และแผ่นดินท่วมน้ำ นกชอบที่โล่ง ๆ มากกว่าที่ต้นไม้ปกคลุมตามชายฝั่ง มันจะอยู่ที่ป่าชายเลน ที่ลุ่มน้ำขัง ที่โคลนชายฝั่ง หาดทราย และพืดหินใต้น้ำนาข้าวเป็นที่อยู่สำคัญในอิตาลี ส่วนชายฝั่งทะเลและป่าชายเลนจะสำคัญในแอฟริกานกบ่อยครั้งอยู่ร่วมกับวัวควายหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีกีบอื่น ๆ[7]
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/e/e2/Flying_Egeret.jpg/220px-Flying_Egeret.jpg)
พฤติกรรม
แก้นกเป็นสัตว์สังคมและบ่อยครั้งเห็นอยู่ในฝูงเล็ก ๆ แต่นกแต่ละตัวก็ไม่ยอมให้ตัวอื่นมาใกล้ที่ ๆ ตนหากินโดยขึ้นอยู่กับว่า เหยื่อมีมากน้อยแค่ไหนมีวิธีหลายอย่างเพื่อจับเหยื่อเช่น ย่องตามเหยื่อในน้ำตื้น บ่อยครั้งวิ่งพร้อมกับยกปีกหรือลากเท้าเพื่อไล่ปลาเล็ก ๆ หรืออาจยืนนิ่ง ๆ แล้วรอโอกาสโจมตีเหยื่อบางครั้งจะถือโอกาสเมื่อนกกาน้ำไล่ปลาหรือเมื่อมนุษย์เรียกร้องความสนใจจากปลาด้วยอาหารบนบก มันจะเดินหรือวิ่งไล่เหยื่อ กินสัตว์ซึ่งถูกวัวควายที่กำลังกินหญ้ากวน กินเห็บหมัดบนสัตว์เลี้ยง หรือแม้แต่กินซากสัตว์อาหารโดยหลักเป็นปลา แต่ก็กินสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นกเล็ก ๆ สัตว์พวกกุ้งกั้งปู มอลลัสกา แมลง แมงมุม และหนอนอีกด้วย[7]
- E. g. garzetta บินโดยหดคอ (ประเทศอินเดีย)
- ไล่เหยื่อในน้ำตื้นที่เมืองโกลกาตาประเทศอินเดีย
- นกกินปลาเล็ก ๆ (พันธุ์ Acanthogobius flavimanus)
นกทำรังเป็นฝูง บ่อยครั้งกับนกลุยน้ำอื่น ๆ ตามชายฝั่งตะวันตกอินเดีย ฝูงนกอาจอยู่ในเขตเมือง และนกที่อยู่ร่วมกันอาจรวมนกยางควาย (Bubulcus ibis) นกแขวก (Nycticorax nycticorax) และนกช้อนหอยขาว (Threskiornis melanocephalus)ในยุโรป นกที่อยู่ร่วมกันอาจเป็นนกยาง Ardeola ralloides (squacco heron) นกยางควาย นกแขวก และนกช้อนหอยดำเหลือบ (Plegadis falcinellus)รังปกติจะมีขนาดใหญ่ (platform nest) ทำด้วยกิ่งไม้สร้างในต้นไม้หรือไม้พุ่ม หรือตามหญ้า หรือตามดงไผ่ในภูมิประเทศบางแห่งเช่นหมู่เกาะกาบูเวร์ดี นกอาจทำรังอยู่ที่หน้าผาคู่นกจะป้องกันอาณาเขตผสมพันธุ์ปกติรอบ ๆ รัง 3–4 ม.ทั้งตัวผู้ตัวเมียจะฟักไข่ 3–5 ฟองเป็นเวลา 21–25 วันไข่มีรูปรี มีเปลือกไม่เงาเป็นสีเขียวออกน้ำเงินอ่อน ๆลูกนกจะมีขนอ่อนสีขาว ทั้งพ่อแม่จะเลี้ยง และจะออกขนปีกภายใน 40–45 วัน[7][8]
- นกฟักไข่ในรัง
- ลูกนก
- นกเลี้ยงลูก
การอนุรักษ์
แก้ทั่วโลก นกยางเปียไม่จัดว่าเสี่ยงสูญพันธุ์และจริง ๆ ได้ขยายที่อยู่ในช่วงทศวรรษที่ผ่าน ๆ มา[6]สหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ได้ระบุว่าเพราะนกอยู่กระจายอย่างกว้าขวางและมีจำนวนมาก จึงเป็นสปีชีส์ที่น่าเป็นห่วงน้อยสุด (least concern)[1]แต่ในประเทศไทย ก็ยังเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าพุทธศักราช 2535 จึงห้ามล่า พยายามล่า ห้ามค้า ห้ามนำเข้าหรือส่งออก ห้ามครอบครอง ห้ามเพาะพันธุ์ ห้ามเก็บหรือทำอันตรายรัง การห้ามการครอบครองและการค้ามีผลไปถึงไข่และซาก[2]
อาณานิคมในโลกใหม่
แก้นกได้เริ่มสร้างอาณานิคมในโลกใหม่มีบันทึกว่าเห็นมันที่เกาะบาร์เบโดสในเดือนเมษายน 1954นกเริ่มผสมพันธุ์ที่เกาะในปี 1994 และปัจจุบันก็ผสมพันธุ์ในหมู่เกาะบาฮามาสด้วย[10]การติดป้ายที่ขานก (bird ringing) จากประเทศสเปนช่วยระบุแหล่งที่มาของนก[9]นกคล้ายกับนกยางหิมะ (Egretta thula) มากและยังอยู่รวมฝูงกับนกเหล่านี้ในเกาะบาบาโดส โดยเป็นนกที่เพิ่งเริ่มอาณานิคมใหม่ทั้งสองชนิดแต่นกยางเปียใหญ่กว่า มีวิธีการหากินหลากหลายกว่า และเป็นนักเลงใหญ่กว่าในที่หากิน[9]ยังมีรายงานเห็นนกในบริเวณเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มตั้งแต่ประเทศซูรินามและบราซิลทางทิศใต้จนไปถึงเกาะนิวฟันด์แลนด์ รัฐควิเบก และรัฐออนแทรีโอในประเทศแคนาดาทางทิศเหนือนกทางชายฝั่งตะวันออกของอเมริกาเหนือเชื่อว่าอพยพไปทางทิศเหนือพร้อมกับนกยางหิมะจากหมู่เกาะแคริบเบียนในเดือนมิถุนายน 2011 มีรายงานว่าเห็นนกในรัฐเมนของสหรัฐ[11]
เชิงอรรถ
แก้- ↑ Coenraad Jacob Temminck (คุนแรด เท็มมิงก์) ค.ศ. 1778-1858 ชาวดัตช์ เป็นชนชั้นสูง นักสัตววิทยา และผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์
อ้างอิง
แก้- ↑ 1.0 1.1 BirdLife International (2015). "Egretta garzetta". IUCN Red List of Threatened Species. IUCN. 2015: e.T62774969A67367671. doi:10.2305/IUCN.UK.2015-4.RLTS.T62774969A67367671.en. สืบค้นเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2016.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 "สัตว์ป่าคุ้มครอง". โลกสีเขียว. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 มีนาคม 2015. สืบค้นเมื่อ 23 เมษายน 2015.
๗๑๔ นกยางเปีย (Egretta garzetta)
- ↑ Jobling, James A (2010). The Helm Dictionary of Scientific Bird Names. London: Christopher Helm. pp. 143, 171. ISBN 978-1-4081-2501-4.
- ↑ Lock, Leigh; Cook, Kevin. "The Little Egret in Britain: a successful colonist" (PDF). britishbirds.co.uk. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 11 เมษายน 2016. สืบค้นเมื่อ 27 มิถุนายน 2017.
- ↑ "Egretta garzetta". Avibase.
- ↑ 6.0 6.1 del Hoyo, J.; Elliot, A.; Sargatal, J., บ.ก. (1992). Handbook of the Birds of the World. Vol. 1. Barcelona: Lynx Edicions. p. 412. ISBN 84-87334-10-5.
- ↑ 7.0 7.1 7.2 7.3 7.4 7.5 7.6 Hancock, James; Kushlan, James A. (2010). The Herons Handbook. Bloomsbury Publishing. pp. 175–180. ISBN 978-1-4081-3496-2.
- ↑ 8.0 8.1 8.2 Witherby, H. F., บ.ก. (1943). Handbook of British Birds, Volume Three: Hawks to Ducks. H. F. and G. Witherby Ltd. pp. 139–142. ASIN B00BLYYKPU.
- ↑ 9.0 9.1 9.2 Kushlan, James A. (ธันวาคม 2007). "Sympatric Foraging of Little Egrets and Snowy Egrets in Barbados, West Indies". Waterbirds. 30 (4): 609–612. doi:10.1675/1524-4695(2007)030[0609:sfolea]2.0.co;2. JSTOR 25148265.
- ↑ "Little egret". Avibirds. สืบค้นเมื่อ 25 ตุลาคม 2015.
- ↑ "Rare Bird Flies Into Scarborough". Wmtw.com. 30 มิถุนายน 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 มีนาคม 2012. สืบค้นเมื่อ 24 ตุลาคม 2015.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/4a/Commons-logo.svg/30px-Commons-logo.svg.png)
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/d/df/Wikispecies-logo.svg/34px-Wikispecies-logo.svg.png)
- Javier Blasco-Zumeta; Gerd-Michael Heinze, Ageing and sexing (PDF), คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2 ธันวาคม 2014
- Little Egret – The Atlas of Southern African Birds
- BirdLife species factsheet for Egretta garzetta
- "นกยางเปีย media". Internet Bird Collection.
- นกยางเปีย photo gallery at VIREO (Drexel University)
- Audio recordings of Little egret on Xeno-canto.